การคบซ้อน ไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผลนะ มันมีเหตุผลมากมายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เราลองมาดูกัน
เป็นประเด็นขึ้นมาทั้งมี กับกระแสข่าวการคบซ้อนของนักร้องดัง ก็ต้องบอกว่า เรื่องของความรัก และการนอกใจนั้นเป็นปัญหาสุดคลาสสิกที่ผู้คนจากหลากหลายเชื้อชาติต้องประสบพบเจอ ทำให้มีงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกมามากมาย ถึงสาเหตุการนอกใจ เราลองมาดูกันสิว่ามันเกี่ยวกับอะไรบ้าง?
-
ถ้าเราเลือกคบกับใครด้วยเรื่องฐานะ หรือเรื่องเงินๆ ทองๆ มันมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดการนอกใจ...
ในปี 2015 มีงานวิจัยกับคน 2,800 คนในช่วงวัยตั้งแต่ 18 - 30 ปี มีบทสรุปว่า คู่ที่เลือกคบกันด้วยเรื่องของฐานะ หรือเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้นมีแนวโน้มสูงมากที่จะเกิดการนอกใจ
เรื่องที่น่าสนใจจากงานวิจัยนี้คือ โอกาสนอกใจของฝ่ายชายมีความสัมพันธ์โดยตรงกับสัดส่วนรายได้ที่เขาหาได้ โดยถ้าฝ่ายชายเป็นผู้หารายได้ให้กับครอบครัวได้เกิน 70% เมื่อไหร่ นั้นมีโอกาสสูงมากที่ฝ่ายชายจะนอกใจ
ในส่วนของฝ่ายหญิง แนวโน้มการนอกใจไม่ได้เพิ่มขึ้นตามรายได้ที่เธอหาได้ แต่แนวโน้มการนอกใจจะมีความคงที่ไม่ว่าสัดส่วนของรายได้จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม
-
ชายและหญิง มีการตอบสนองที่ต่างกัน เมื่อเกิดอาการปิ๊งคนอื่นที่ไม่ใช่คู่รัก
งานวิจัยในปี 2008 ที่มีการเผยแพร่บนสื่อในชื่องานวิจัยว่า Interpersonal Relations and Group Processes (
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและกระบวนการกลุ่ม) มีการระบุว่า หลังจากที่ฝ่ายชายเกิดปิ๊งหญิงอื่นที่ไม่ใช่คู่รัก ฝ่ายชายจะมีความยับยั้งชั่งใจน้อยมาก เพื่อไม้ให้คิดนอกใจ ในทางกลับกัน ผู้หญิงจะมีความยับยั้งชั่งใจได้ดีกว่าเมื่อเกิดไปปิ๊งใครขึ้นมา
-
ทั้งชายและหญิง มีความรู้สึกที่ต่างกัน หากคู่รักเกิดไปมีกิ๊กกับคนเพศเดียวกัน!
เรื่องความหลากหลายทางเพศ เป็นประเด็นที่มีความอ่อนไหว แต่ก็มีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อย โดยผลงานวิจัยในปี 2015 ที่เผยแพร่ผ่านสื่อในชื่อผลงานว่า Personal Relationships (ความสัมพันธ์ส่วนบุคคล) ระบุว่าชายและหญิงมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน หากคู่รักไปแอบมีกิ๊กกับคนเพศเดียวกัน
โดยจากการที่ทีมงานวิจัยได้สัมภาษณ์ฝ่ายชาย ก็พบว่าพวกเขาจะรู้สึกโกรธ และมีแนวโน้มที่จะเลิกลา หากแฟนสาวของเขาแอบไปมีกิ๊กเป็นผู้ชาย ในทางกลับกับ ฝ่ายชายจะทำใจได้มากกว่า หากแฟนสาวของเขาแอบไปมีกิ๊กกับผู้หญิง
ส่วนฝ่ายหญิง บอกว่าเธอจะรู้สึกแย่มากๆ หากแฟนหนุ่มไปมีกิ๊กกับสาวอื่น แต่ถ้าแฟนหนุ่มเกิดไปมีกิ๊กกับชายอื่นแล้วหล่ะก็ มีแนวโน้มสูงทีเดียวที่ฝ่ายหญิงจะขอเลิกรา
-
เรามักจะคิดเข้าข้างตัวเองว่า ทุกคนบนโลกนั้นเจ้าชู้ ยกเว้นแฟนของเรา?
ในผลงานวิจัยจากปี 2015 ที่เผยแพร่ผ่านสื่อ Journal of Social and Personal Relationships ระบุว่า นักศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย มีความคิดว่า คนในเพศตรงข้ามเป็นจำนวนกว่า 42% นั้นนอกใจคู่รัก
แต่เมื่อให้มองย้อนกลับมาพิจารณาคู่รักของตัวเอง กลับมีนักศึกษาเพียง 5% เท่านั้นที่คิดว่าคู่รักของตัวเองกำลังนอกใจ และมี 8% ที่คิดว่าคู่รักของตัวเอง มีแนวโน้มที่จะนอกใจในอนาคต
และมีนักศึกษา 9% ที่ยอมรับว่าตัวเองกำลังนอกใจคู่รัก
-
ผู้ชายและผู้หญิง ให้น้ำหนักกับการที่คู่ของตัวเอง "นอกกาย" กับ "นอกใจ" แตกต่างกันนะ
ผลงานวิจัยจากปี 2013 ที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อ Evolutionary Psychology ระบุว่า ฝ่ายชายมักเกิดอาการจิตตก หากได้รู้ว่าแฟนสาวของตัวเองมีเพศสัมพันธ์กับชายอื่น โดยที่ไม่สนใจเลยว่าเธอตกหลุมรักผู้ชายคนนั้นหรือไม่
ส่วนของทางฝ่ายหญิง จะเกิดอาการจิตตก หากได้รู้ว่าแฟนหนุ่มของตัวเอง ตกหลุมรักกับผู้หญิงคนอื่น ถึงแม้จะยังไม่ได้มีอะไรเกินเลยก็ตาม
สรุปก็คือ ฝ่ายชายให้น้ำหนักกับการที่คู่ของตัวเอง "นอกกาย" ส่วนฝ่ายหญิงให้น้ำหนักกับการที่คู่ของตัวเอง "นอกใจ"
-
ผู้ชายมีแนวโน้มที่จะนอกใจ เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยสำคัญ
งานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี 2014 นักวิจัยได้ทำการตรวจสอบพฤติกรรมของผู้คนบนเว็บไซต์ Ashley Madison ซึ่งเป็นเว็บไซต์จับคู่เดทออนไลน์ ทำใหได้ข้อสรุปว่า ฝ่ายชายมีแนวโน้มที่จะนอกใจคู่รัก เมื่อเข้าสู่ช่วงวัยที่ลงท้ายด้วยเลข 9 (อย่างเช่น อายุ 39 , 49 เป็นต้น) แต่ส่วนทางฝั่งของผู้หญิงไม่มีแนวโน้มเด่นชัดในเรื่องนี้
-
ลักษณะทางพันธุกรรมก็มีส่วนสำคัญกับการนอกใจ!
มีงานวิจัยหลายๆ ชิ้นที่ยืนยันว่า ลักษณะทางพันธุกรรมของเรานั้นก็มีส่วนสำคัญกับการคิดนอกใจ
ตัวอย่างเช่นงานวิจัยจาก University of Queensland ที่มีการเผยแพร่ผ่านสื่อ Evolution and Human Behavior ระบุว่า การนอกใจนั้นเป็นเรื่องปกติของคนที่มียีนที่ตอบสนองต่อฮอร์โมน อ๊อกซิโตซิน (Oxytocin) และฮอร์โมน วาโซเพรสซิน (Vasopressin)
โดยคุณ Richard Friedman ศาสตราจารย์จากสถาบัน Weill Cornell Medical College อธิบายกับสื่อ New York Times ว่า วาโซเพรสซิน เป็นฮอร์โมน ที่เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรมทางสังคม อาทิ ความเชื่อใจ, การเอาใจใส่ รวมถึงความสัมพันธ์ทางเพศ
และผลจากการวิจัยระบุว่า การนอกใจของผู้หญิงกว่า 40% และการนอกใจของผู้ชายกว่า 62% เป็นผลมาจากลักษณะทางพันธุกรรม
-
มันมีความเป็นไปได้ที่จะกลับมารักกันดีเหมือนเดิม หลังจากที่เคยนอกใจ
คุณ M. Gary Neuman ผู้สร้างสรรค์รายการที่มีชื่อว่า "Creating Your Best Marriage" ได้กล่าวกับสื่อ Business Insider ว่า มันมีความเป็นไปได้ที่คู่รักจะกลับมารักกันดีเหมือนอย่างเดิม หลังจากที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเกิดนอกใจ โดยมีแนวทางปฏิบัติดังนี้
- คนที่เคยนอกนอกใจ ต้องมีความสำนึกผิดด้วยใจจริง และมีความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตตัวเอง
- ฝ่ายที่โดนนอกใจ ต้องมั่นใจว่าคู่รักของตน เลิกนอกใจแล้วจริงๆ นะ
- หากเป็นไปได้ ฝ่ายที่โดนนอกใจ ไม่ควรตั้งคำถามที่ละเอียดอ่อนกับคู่รักของตัวเองที่เคยนอกใจ อย่างเช่นคำถามที่ว่า "เกิดอะไรขึ้นบ้างในระหว่างความสัมพันธ์ของคุณ กับคนที่คุณเคยแอบไปคบอยู่?"
-
ผู้หญิงสมัยนี้ก็เจ้าชู้ไม่แพ้ผู้ชาย...
มีรายงานจากสื่อ New York Magazine ว่า โดยปกติแล้วเรามักจะมีความเชื่อว่า ผู้ชายเจ้าชู้และคิดนอกใจได้ง่ายกว่าผู้หญิง แต่ในโลกปัจจุบัน อัตราการนอกใจของทั้งชายและหญิงนั้นเกิดขึ้นในอัตราส่วนที่พอๆ กัน
ตัวอย่างเช่นงานวิจัยในปี 2011 ที่เกิดขึ้นในเขตเมือง นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา และมีการเผยแพร่ผลงานวิจัยในชื่อว่า Archives of Sexual Behavior (จดหมายเหตุของพฤติกรรมทางเพศ) ระบุว่าผู้ชาย 23% และผู้หญิง 19% ระบุว่าพวกเขานอกใจ จะเห็นว่ามีอัตราส่วนที่ใกล้เคียงกันมากจริงๆ ระหว่างหญิงและชายในเรื่องนี้
-
การนอกใจ แต่ไม่นอกกาย เริ่มเป็นเรื่องที่ปกติมากขึ้นเรื่อยๆ
การ "นอกใจ" ก็คือการที่เราแอบปิ๊ง หรือทุ่มเทความรักให้คนอื่นที่ไม่ใช่คู่รัก ส่วนการ "นอกกาย" คือการที่เราไปมีเพศสัมพันธ์กับคนอื่นที่ไม่ใช่คู่รัก ไม่ว่าเราจะรู้สึกรักเขาหรือไม่ก็ตาม...
โดยสื่อ Business Insider รายงานว่า การนอกใจเริ่มกลายเป็นอะไรที่ธรรมดาสามัญไปแล้วสำหรับคนสมัยนี้ โดยยกข้อสรุปจากผลงานวิจัยของสมาคม American Association of Marriage and Family Therapy ที่รุบะว่า ชาย 45% และหญิง 35% ยอมรับว่าอยู่ในสภาวะนอกใจ ในขณะที่มีคนเพียงประมาณ 20% ที่ยอมรับว่ามีการนอกกายเกิดขึ้น
ซึ่งอาการนอกใจนั้น เป็นอะไรที่ตรวจสอบได้ยาก แต่หากใครที่สงสัยว่าคู่รักของตัวเองกำลังมีอาการนอกใจอยู่หรือไม่ ให้ลองใช้วิธีการของคุณ Sheri Meyers ซึ่งเป็นนักให้คำปรึกษาปัญหาครอบครัวระดับมืออาชีพ ได้แนะนำว่า ให้ลองถามว่าคู่รักว่า เขามีความรู้สึกอย่างไรกับคนที่คุณคิดว่าเขาแอบปันใจให้ และถ้าคู่รักของคุณมีอาการปันใจจริงๆ เขาจะมีอาการหลีกเลี่ยงไม่ยอมตอบคำถาม
-
แน่นอนว่า ศีลธรรม เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ครองรักได้ยืนยาว
ผลงานการวิจัยในปี 2017 ที่มีชื่อว่า Journal of Sex Research ผู้ทำการวิจัยได้สอบถามกลุ่มตัวอย่างว่า อะไรเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้เขาไม่นอกใจคู่รัก โดยกลุ่มตัวอย่างนี้มีจำนวน 400 คน ในช่วงวัยตั้งแต่ 24 - 60 ปี และทุกคนได้ผ่านการแต่งงานมาแล้วอย่างน้อย 1 ปี และมีลูกอย่างน้อย 1 คน
โดย 4 อันดับเหตุผลที่ทำให้ไม่คิดนอกใจก็ได้แก่ ศีลธรรม, ความผูกพันจากการมีลูก, ความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว และกลัวผลกระทบที่จะตามมาจากชู้รัก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งชู้รักที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง)
สิ่งที่น่าสนใจคือ ผู้ที่เคร่งศาสนา จะให้ความสำคัญกับเรื่องศีลธรรม และการกลัวผลกระทบที่จะตามมาจากชู้รัก เป็นประเด็นหลักในการที่ทำให้ไม่คิดนอกใจ ในขณะที่ผู้คนโดยส่วนใหญ่ จะให้น้ำหนักกับเรื่อง ความกลัวที่จะต้องอยู่คนเดียว
-
คนที่เคยนอกใจมาแล้ว มีแนวโน้มที่จะนอกใจได้อีก
ผลงานวิจัยในปี 2017 ทีมีชื่อว่า Archives of Sexual Behavior (จดหมายเหตุของพฤติกรรมทางเพศ) ได้ทำการวิจัยกับผู้ใหญ่ชาย-หญิง จำนวน 500 คน โดยขอให้พวกเขารายงานตามความเป็นจริงว่าพวกเขาเคยนอกใจ หรือเคยรู้หรือไม่ว่าคู่รักของเขานอกใจ
และผลออกมาว่า คนที่ยอมรับว่าเคยนอกใจในความสัมพันธ์ครั้งแรก นั้นมีแนวโน้มสูงกว่าถึง 3 เท่าตัว ที่จะนอกใจอีกครั้งในความสัมพันธ์ครั้งที่สอง เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยมีประวัติการนอกใจมากก่อน
และที่น่าสนใจยิ่งว่านั้นคือ คนที่รายงานว่า เคยโดนคู่รักนอกใจมาแล้วในความสัมพันธ์ครั้งแรก นั้นมีแนวโน้มสูงมากที่เขาจะโดนนอกใจอีกครั้งในความสัมพันธ์ครั้งที่สอง
จากสาเหตุ หรือต้นกำเนิดของอาการนอกใจ ที่สรุปรวมมาได้ 12 ข้อ น่าจะนำมาสู่บทสุดท้ายที่ว่า ความรักเป็นเรื่องระหว่างคนสองคน และเป็นสิ่งที่สวยงามเสมอ ตราบใดที่มีไม่มีบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง...
ที่มา : www.businessinsider.com
ขอบคุณที่มา https://news.thaiware.com/15890.html
โปรแกรมหวย richmantool